วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

เมนูอาหารลดน้ำหนัก+ผลไม้ห้ามทานช่วงลดน้ำหนัก



เมนูอาหารลดน้ำหนัก+ผลไม้ห้ามทานช่วงลดน้ำหนัก



มื้อเช้า ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งทานสลับกันไปทุกวัน

* ไข่ต้มไม่สุกนัก ใส่พริกไทยดำมากๆ เกลือเล็กน้อย 1 ฟองเท่านั้น
* ข้าวโอ๊ตชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ
* น้ำเต้าหู้ใส่ลูกเดือย 1 ถ้วยข้าวต้ม
* ข้าวต้มกับยำกุ้งแห้ง 1 ที่
* แฮมนึ่ง 2 แผ่น                                                            
* สลัดผักสด 1 ถ้วย
* แอปเปิ้ลแดง 1 ผลหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
* น้ำผักผลไม้ เช่น แครอทปั่นกับแอปเปิ้ลเขียว
* ขนมปังโฮลวีตปิ้งทาเนยถั่ว 1 แผ่นกับชาสมุนไพร
* เมล็ดทานตะวัน+เมล็ดฟักทอง 1 จานเล็ก (จานรองถ้วยกาแฟ)
* ลูกเกดหรือลูกพรุนแห้ง 3 ช้อนโต๊ะ
* ซุปเห็ดสด หรือต้มจืดเห็ด 1 ถ้วย
* ถั่วลันเตานึ่งหรือต้มโรยเกลือ หรือราดซอสพริก 1 ถ้วยข้าวต้ม
* จับฉ่าย 1 ถ้วยข้าวต้ม
* ซุปผักโขม 1 ถ้วย
มื้อกลางวัน ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งทานสลับกันไปทุกวัน

                                   
* น้ำแอปเปิ้ล 1 แก้ว+ ส้ม 2 ผล
* แครอทต้ม 1 จานเล็ก (จานรองกาแฟ) กับแฮมนึ่ง 1 แผ่น
* ขนมจีนน้ำยาป่า 1 จานเล็ก
* ยำเห็ด หรือยำก้านคะน้า 1 จาน
* ไข่ดาวใส่พริกไทยดำมากๆ แม็กกี้เล็กน้อย 1 ฟอง
* แกงจืดเต้าหู้ขาวใส่ผักกาดขาว 1 ถ้วย
* เกี๊ยวน้ำไม่ใส่หมูแดง 1 ถ้วยเล็ก
* กล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้า 1 ลูก
* สลัดผักใส่ทูน่า 2 ช้อนโต๊ะ 1 ถ้วย
* ข้าวต้มกุ้ง 1 ถ้วยเล็ก
* แอปเปิ้ลเขียว หั่นชิ้นเล็ก 1 ผล
* แกงส้มผักรวม 1 ถ้วย
* มะเขือเทศ+แตงกวาสไลด์บางๆ แช่เย็น 1 จาน
* สลัดผลไม้ เช่น ชมพู่ แอปเปิ้ล สับปะรด หั่นชิ้นเล็กๆ บีบมะนาวโรยน้ำผึ้ง
* ส้มตำมะละกอ 1 จาน
* ผัดถั่วงอกไม่ใส่หมู 1 จาน

มื้อเย็น ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งทานสลับกันไปทุกวัน

* แกงจืดผักโขมไม่ใส่หมู 1 ถ้วย
* ส้มตำแครอท+มะละกอ 1 จาน
* ฝรั่งหั่นชิ้นเล็ก 1 ผล
* ข้าวต้ม 1 ถ้วย + จับฉ่ายครึ่งถ้วย
* แฮมนึ่ง 3 แผ่น
* สลัดผลไม้รวม
* ผัดผักบุ้งไฟแดง 1 จาน
* ไข่ต้มไม่สุกนัก ใส่พริกไทยดำมากๆ 1 ฟอง
* ถั่วลิสงต้ม 1 ถ้วยข้าวต้ม
* ซุปเห็ดหรือซุปหัวหอม 1 ถ้วย
* ผักนึ่งกับน้ำพริก เช่น กวางตุ้ง หน่อไม้ ถั่วพู ถั่วฝักยาว
* แอปเปิ้ลเขียว หั่นชิ้นเล็กๆ 2 ผล
* สลัดผักรวมใส่ไข่ต้มครึ่งฟอง 1 ถ้วย
* แกงจืดฟักหรือหัวไช้เท้า ไม่ใส่เนื้อสัตว์ 1 ถ้วย
* ผักสดๆ แช่เย็น จิ้มซอส เช่น แตงกวา มะเขือเทศ แครอท ดอกกะหล่ำปลี ข้าวโพดอ่อน หน่อไม้ฝรั่ง

ผลไม้กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน  
: แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วงดิบ มะละกอ และ แตงโม
ผลไม้น่ากั๊ว กินแล้วอ้วนแน่นอน


การกินผลไม้ กินแล้วดี มีประโยชน์มากมาย แต่บางครั้งก็ต้องเลือกกิน และกินในปริมาณที่พอดี เพราะมีผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจจะทำให้อ้วนได้
ผลไม้กินแล้วอ้วนฉุ หนีไม่พ้นทุเรียนผลไม้ที่กิน แล้วอ้วนสุด ๆ คือ กล้วยไข่ 
 อันดับ 2 คือ กล้วยน้ำว้า
 อันดับ 3 คือ ขนุน
 อันดับ 4 คือ กล้วยหอม 
 อันดับ 5 คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
 อันดับ 6 คือ ลำไยกะโหลกเขียว
 อันดับ 7 คือ ลองกอง
 อันดับ 8 คือ เงาะ
 อันดับ 9 คือ ลางสาด
 อันดับสุดท้ายน้ำตาลน้อยสุด คือ ละมุด

ภาวะโลกร้อน



                 
                                 ภาวะโลกร้อน



     ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) คือ การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากผลของภาวะเรือนกระจก หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า Greenhouse Effect โดยภาวะโลกร้อน ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ, การขนส่ง และการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
         นอกจากนั้นมนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโรคาร์บอน (CFC) เข้าไปอีกด้วยพร้อมๆ กับการที่เราตัดและทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ ทำให้กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง และในที่สุดสิ่งต่างๆ ที่เราได้กระทำต่อโลกได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของ ภาวะโลกร้อน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
        
          ปรากฏการณ์ทั้งหลายเกิดจากภาวะโลกร้อนขึ้นที่มีมูลเหตุมาจากการปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลกได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นที่รู้จักกันโดยเรียกว่า สภาวะเรือนกระจก
         พลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีทั้งรังสีคลื่นสั้นและคลื่นยาว บรรยากาศของโลกทำหน้าที่ปกป้องรังสีคลื่นสั้นไม่ให้ลงมาทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกได้ โมเลกุลของก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนในบรรยากาศชั้นบนสุดจะดูดกลืนรังสีแกมมาและรังสีเอ็กซ์จนทำให้อะตอมของก๊าซในบรรยากาศชั้นบนมีอุณหภูมิสูง และแตกตัวเป็นประจุ (บางครั้งเราเรียกชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยประจุนี้ว่า "ไอโอโนสเฟียร์" มีประโยชน์ในการสะท้อนคลื่นวิทยุสำหรับการสื่อสาร) รังสีอุลตราไวโอเล็ตสามารถส่องผ่านบรรยากาศชั้นบนลงมา แต่ถูกดูดกลืนโดยก๊าซโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์ที่ระยะสูงประมาณ 19 - 48 กิโลเมตร แสงแดดหรือแสงที่ตามองเห็นสามารถส่องลงมาถึงพื้นโลก รังสีอินฟราเรดถูกดูดกลืนโดยก๊าซเรือนกระจก เช่น ไอน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นโทรโปสเฟียร์ ส่วนคลื่นไมโครเวฟและคลื่นวิทยุในบางความถี่สามารถส่องทะลุชั้นบรรยากาศได้

  สำหรับ บรรยากาศของโลกประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจน 78% ก๊าซออกซิเจน 21% ก๊าซอาร์กอน 0.9% นอกนั้นเป็นไอน้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนเล็กน้อย แม้ว่าไนโตรเจน ออกซิเจน และอาร์กอนจะเป็นองค์ประกอบหลักของบรรยากาศ แต่ก็มิได้มีอิทธิพลต่ออุณหภูมิของโลก ในทางตรงกันข้ามก๊าซโมเลกุลใหญ่ เช่น ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน แม้จะมีอยู่ในบรรยากาศเพียงเล็กน้อย กลับมีความสามารถในการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด และมีอิทธิพลทำให้อุณหภูมิของโลกอบอุ่น เราเรียกก๊าซพวกนี้ว่า "ก๊าซเรือนกระจก" (Greenhouse gas) เนื่องจากคุณสมบัติในการเก็บกักความร้อน หากปราศจากก๊าซเรือนกระจกแล้ว พื้นผิวโลกจะมีอุณหภูมิเพียง -18 องศาเซลเซียส ซึ่งนั่นก็หมายความว่าน้ำทั้งหมดบนโลกนี้จะกลายเป็นน้ำแข็ง

ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

                 ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่จำเป็นจะต้องปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป บางสายพันธุ์ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็มีโอกาสที่จะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้เลยทีเดียว ยกตัวอย่างสัตว์โลกที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากภาวะโลกร้อนโดยตรงในตอนนี้ก็คือสัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณน้ำแข็งขั้วโลกอย่างนกเพนกวินและหมีขั้วโลก
สำหรับมนุษย์ผู้ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนนั้นก็ย่อมได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ที่เห็นกันได้ค่อนข้างชัดเลยก็คือสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น ที่ไหนแห้งแล้งก็จะแห้งแล้งอย่างรุนแรง ขาดน้ำสะอาดที่จะใช้บริโภคและไม่มีน้ำพอที่จะใช้ทำการเกษตรกรรม ในขณะเดียวกันถึงเวลาหน้าฝน น้ำก็เทลงมามากจนเกินความต้องการ ส่งผลทำให้เกิดอุทกภัยอย่างหนัก ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย พืชผลที่ผลิตได้มีจำนวนน้อยลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ




วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

โรคเอดส์




โรคเอดส์ คืออะไร

          โรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสมีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเซียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus :HIV) หรือเรียกย่อๆ ว่า เชื้อเอชไอวี โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้อีก โรคต่างๆ (หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า โรคฉวยโอกาส) จึงเข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา ฯลฯ และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด

สายพันธุ์ของ โรคเอดส์
          เชื้อไวรัสเอดส์มีหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลักดั้งเดิมคือ เอชไอวี-1 (HIV-1) ซึ่งแพร่ระบาดในแถบสหรัฐอเมริกา ยุโรป และแอฟริกากลาง, เอชไอวี-2 (HIV-2) พบแพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก นอกจากนี้ยังพบสายพันธุ์อื่นๆ ที่กลายพันธุ์มาอีกมากมาย
 โรคเอดส์ ติดต่อได้อย่างไร

โรคเอดส์ สามารถติดต่อได้ 3 ทาง คือ

           1.การร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ใช่ถุงยางอนามัย ทั้งชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับหญิง จะเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการติด โรคเอดส์ทั้งนั้น ซึ่งมีข้อมูลจากกองระบาดวิทยาระบุว่า ร้อยละ 83 ของผู้ติดเชื้อเอดส์ รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์

           2.การรับเชื้อทางเลือด โอกาสติดเชื้อ เอดส์ พบได้ 2 กรณี คือ

          - ใช้เข็มฉีดยา หรือกระบอกฉีดยา ร่วมกับผู้ติดเชื้อ เอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น

          - รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด แต่ปัจจุบันเลือดที่ได้รับการบริจาคมา จะถูกนำไปตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อน จึงมีความปลอดภัยเกือบ 100%

           3.ติดต่อผ่านทางแม่สู่ลูก เกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์และถ่ายทอดให้ทารก ในขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอด และภายหลังคลอด ปัจจุบันมีวิธีป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก โดยการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์เหลือเพียงร้อยละ 8 แต่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงาน

          นอกจากนี้ โรคเอดส์ ยังสามารถติดต่อผ่านทางอื่นได้ แต่โอกาสมีน้อยมาก เช่น การใช้ของมีคมร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ทำความสะอาด, การเจาะหูโดยการใช้เข็มเจาะหูร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์,การสักผิวหนัง หรือสักคิ้ว เป็นต้น ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นการติดต่อโดยการสัมผัสกับเลือด หรือน้ำเหลืองโดยตรง แต่โอกาสติด โรคเอดส์ ด้วยวิธีนี้ต้องมีแผลเปิด และปริมาณเลือดหรือน้ำเหลืองที่เข้าไปในร่างกายต้องมีจำนวนมาก

การป้องกัน โรคเอดส์

เราสามารถป้องกัน โรคเอดส์ ได้ โดย

           1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์
           2. รักเดียว ใจเดียว
           3. ก่อนแต่งงาน หรือมีบุตร ควรตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และขอรับคำปรึกษาเรื่อง โรคเอดส์ จากแพทย์ก่อน
           4. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดใช้สารเสพติดทุกชนิด


ประวัติส่วนตัว

Snook Tom
ชื่อ : นางสาวภริดา  นามสกุล สินทอง
 อายุ : 18 ปี  เพศ : หญิง
เกิด :วันอังคาร ที่ 15 มีนาคม 2537 
น้ำหนัก : 54 กก. ส่วนสูง : 151 ซม.
สถานะ : โสด
ที่อยู่ : 24/1 ม.4 ต.รำพัน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบรี 22170
สถานที่ศึกษา :โรงเรียนมัธยมท่าแคลง อ. นายายอาม จ.จันทบุรี
นิสัย : ร่าเริง อัธยาศัยดี เฮฮา สนุกสนาน นิสัยดี เป็นกันเอง
กิจวัตรประจำวัน : ฟังเพลง ร้องเพลง
ภาพยนต์ทีชอบ : Yes or No อยากรักก็รักเลย
สีที่ชอบ : สีฟ้า สีน้ำเงิน สีแดง สีดำ
ความสามารถพิเศษ : ร้องเพลง วาดภาพ แต่งกลอน เล่านิทานภาษาอังกฤษ
Facebook : Snook-cb'tom Love Diiz
Tel. : 091-1726581